Negotiation

Negotiation สุดยอดเทคนิคในการเจรจาต่อรองให้ประสบความสำเร็จ มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้
1. ต้องรู้จุดประสงค์ของการเจรจา
ปัจจุบันการเจรจาแบบเอาประโยชน์เพียงฝ่ายเดียวคงประสบความสำเร็จยากเพราะอีกฝ่ายคงไม่ยอมแน่นอน หรือถ้ามองกลับกันหากเป็นเราก็คงไม่ยอมเช่นกัน ดังนั้น จึงต้องพบกันครึ่งทาง ผู้เจรจาที่ดีต้องรู้ว่าการเจรจาครั้งนี้สิ่งที่เราต้องการคืออะไร อีกฝ่ายพอจะรับได้หรือไม่ จุดต่ำที่สุดที่เราพอจะรับได้คืออะไร และที่สำคัญอะไรคือสิ่งที่เราจะให้กับอีกฝ่ายบ้าง เป็นต้น

2. ต้องมีการวางทีมผู้เจรจา ซึ่งมีประมาณ 4 คน ได้แก่
1)
หัวหน้าทีม เป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจและเป็นคนยื่นข้อเสนอและมีบทบาทในการเจรจามากที่สุด ซึ่งควรเลือกคนที่เป็นพุทธิจริตและศรัทธาจริตรวมกันมาทำหน้าที่นี้
2)
ผู้ตาม (good guy) เป็นคนที่มีบุคลิกลักษณะยิ้มแย้มแจ่มใส อัธยาศัยดี มีท่าทีประนีประนอม ยิ้มรับ และเห็นด้วยกับข้อเสนอของอีกฝ่ายตลอดเวลา ซึ่งควรเลือกคนที่เป็นราคะจริต
3)
ผู้คัดค้าน (bad guy) เป็นคนที่มีบุคลิกลักษณะเจ้าอารมณ์ โกรธง่าย พูดจารุนแรง ไม่เห็นด้วยและคอยจับผิดข้อเสนอของฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา ซึ่งวิตกจริตจะทำหน้าที่นี้ได้ดี
4)
ผู้สังเกตการณ์ (observer) เป็นคนที่มีบุคลิกนิ่ง ๆ เฉย ๆ เหมือนจะไม่มีบทบาทใด ๆ ในการเจรจา เป็นแค่คนคอยจดบันทึก แต่จริง ๆ แล้วคนนี้จะเป็นผู้ที่สังเกตการณ์พฤติกรรมของฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด เช่น ฝ่ายตรงข้ามพอใจกับข้อเสนอแบบไหน ใครเป็นผู้นำเอาข้อมูลมารายงานบ้าง และใครเป็นผู้มีอำนาจจริง ๆ ในการตัดสินใจ เป็นต้น ซึ่งผู้เป็นโมหะจริตจะเหมาะสมกับหน้าที่นี้
ผู้ตาม (good guy) และผู้คัดค้าน (bad guy) จะทำหน้าที่สร้างแรงกดดันให้ฝ่ายตรงข้าม โดยคนที่ทำหน้าที่เป็น good guy จะเป็นผู้ที่ช่วยยื่นข้อเสนอที่พอจะยอมรับได้และแสดงความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจอีกฝ่ายเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นคนกดดันให้อีกฝ่ายยอมรับข้อเสนอ และไม่กล้าที่จะต่อรองผลประโยชน์มากไปกว่านี้ เพราะมิฉะนั้นแล้ว เขาหรือเธอจะให้ bad guy เป็นคนเข้ามาเจรจาต่อรองแทน

3. นักเจรจาที่ดีต้องรู้ว่าการเจรจาครั้งนี้จำเป็นจะต้องใช้ exhausting technique หรือไม่
Exhausting technique ในที่นี้คือการทำให้ฝ่ายตรงข้ามเหนื่อยและเครียดจนต้องยอมรับข้อเสนอและยุติการเจรจาในที่สุด เช่น การยื้อเวลาในการเจรจาให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ หรือหลบเลี่ยงในการเจรจาจนอีกฝ่ายยอมเลิกราไปเอง เป็นต้น แต่ในทางตรงข้ามหากไปเจอคู่กรณีที่ใช้วิธีนี้กับเรา วิธีแก้คือกำหนดระยะเวลา (deadline) ให้ชัดเจนและสร้างเงื่อนไขว่าหากอีกฝ่ายไม่เจรจาภายในระยะเวลาที่กำหนด ทางเราจะจัดการอย่างไรต่อไป เป็นต้น

4. กำหนดระยะเวลาเพื่อกดดันให้อีกฝ่ายยอมยุติการเจรจา
วิธีนี้พบได้บ่อยในการเจรจาซื้อขายสินค้า เช่น หากตัดสินใจซื้อภายในสิ้นเดือนนี้จะได้รับสิทธิพิเศษอะไรบ้าง หรือกรณียื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายทำตามในระยะเวลาหนึ่ง ๆ หากไม่ทำตามจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เป็นต้น และนอกจากนั้น เวลาที่กำหนดให้จะต้องไม่นานนัก เช่น ภายใน 1 สัปดาห์ หรือภายใน 1 เดือน เป็นต้น ถ้ากำหนดเวลานานเกินไปวิธีนี้จะไม่ได้ผล

5. วิธีรับมือคู่เจรจาที่โลเล ช่างสงสัย และไม่กล้าที่จะตัดสินใจด้วยตนเอง
เมื่อใช้เวลาเจรจามานานพอสมควร อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะเห็นชอบด้วย แต่สุดท้ายอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตัดสินใจ ขอไปปรึกษาคนอื่นก่อน ดังนั้น เมื่อเจอคนประเภทนี้มีวิธีจัดการคือ ประการแรกต้องมองให้ออกก่อนว่าคู่เจรจาเป็นคนประเภทดังกล่าว ต้องมองให้ออกตั้งแต่แรกมิฉะนั้นจะแก้ไขไม่ได้ การเจรจากับคนจำพวกนี้ต้องชัดเจนและเด็ดขาดห้ามให้โอกาสอีกฝ่ายกลับไปตัดสินใจเพราะจะยืดเยื้อไม่มีที่สิ้นสุด เราอาจจะต้องยอมเสียเปรียบเล็กน้อยเนื่องจากคนพวกนี้ที่ไม่กล้าตัดสินใจเพราะกลัวตัวเองเสียเปรียบ หากเรายอมให้ผลประโยชน์ไปอีกหน่อย อีกฝ่ายจะยอมเอง ซึ่งกรณีนี้หากเป็นการซื้อขายเล็ก ๆ คงไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่หากเป็นเจรจารายใหญ่ ๆ อาจจะต้องยืมมือคนอื่นช่วย คือการขอความช่วยเหลือจากคนที่มีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจของคู่กรณีให้ไปช่วยเจรจาแทน เป็นต้น

6. ผู้เจรจาที่ดีต้องมีเครื่องมือในการต่อรอง (Vinegar and Honey)
Vinegar
ในที่นี้คือข่าวร้าย หรือข้อเสนอที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ต้องการซึ่งมีไว้ใช้ขู่ ส่วน Honey ในที่นี้คือข่าวดี หรือข้อเสนอที่พอจะรับได้ทั้งสองฝ่าย ยกตัวอย่างเช่น กรณีฝ่ายตรงข้ามยื่นข้อเสนอมามากเกินไป ทางฝ่ายเราจึงต้องบอกข้อจำกัดต่าง ๆ ไปก่อน ในที่นี้คือ Vinegar แล้วจึงค่อยบอกข้อเสนอที่เรารับไหว ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะได้ผลประโยชน์น้อยกว่าที่เสนอมา แต่เขาก็จะรู้สึกดีเพราะคิดว่าทางฝ่ายเรายอมเสียเปรียบให้และดีกว่าไม่ได้เลย

7. การใช้นกต่อในการช่วยเจรจา
วิธีนี้ใช้ในกรณีที่ผู้เจรจาไม่สามารถชักจูงฝ่ายตรงข้ามได้ จึงต้องยืมมือที่สามเข้ามาช่วย เช่นกรณีหน่วยสืบราชการต้องใช้สายลับเข้ามาช่วย หรือกรณีเด็ก ๆ ไม่กล้าขอหรือต่อรองกับคุณพ่อโดยตรง แต่ให้คุณแม่ขอให้แทน เป็นต้น

8. พยายามอย่าเป็นคนบอกข้อเสนอก่อน
ในการเจรจาควรให้อีกฝ่ายบอกข้อเสนอมาก่อนเพื่อที่จะดูท่าทีของฝ่ายตรงข้าม และเพื่อไม่ให้เสียท่าบอกข้อเสนอที่สูงหรือต่ำจนเกินไป แต่ในกรณีซื้อขายสินค้าหากจำเป็นต้องเป็นฝ่ายบอกก่อน ถ้าเป็นผู้ซื้อให้บอกราคาต่ำที่สุดเท่าที่เราพอจะรับได้ และในทางกลับกันกรณีเป็นผู้ขายให้บอกสูงไว้ก่อน เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากคู่เจรจาเป็นวิตกจริตและมีความละโมบโลภมากอยู่เป็นทุนเดิม เราต้องชิงเสนอข้อตกลงก่อนพร้อมด้วยเหตุผลนานาประการเพื่อให้การเจรจาไม่ยืดเยื้อและอยู่ในระดับที่ไม่เสียเปรียบทั้งสองฝ่าย

9. การแกล้งทำเป็นคนที่โลเล และตัดสินใจไม่ได้เสียเอง
วิธีนี้ควรทำในกรณีที่เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ วิธีนี้จะช่วยประวิงเวลาในการกลับไปคิดหาทางเจรจาต่อไป ตอนแรกต้องยอมรับฟังข้อเสนอทุกอย่างเสมือนกับเห็นด้วยทุกประการกับฝ่ายตรงข้าม แต่สุดท้ายเมื่อถูกบังคับให้ปิดการเจรจาเราต้องขอนำข้อเสนอทั้งหมดนี้ไปทบทวนอีกครั้งหรือปรึกษาคนอื่นก่อนตัดสินใจ นอกจากนั้น ในกรณีที่เรายังขาดข้อมูลบางอย่างไป เราสามารถเลื่อนการตัดสินใจไปก่อนได้ด้วยวิธีการนี้

10. การเจรจาแบบคิดล่วงหน้าไปก่อนขั้นหนึ่ง
เป็นการเจรจาโดยใช้เงื่อนไขเป็นตัวผูกมัดฝ่ายตรงข้าม ซึ่งวิธีนี้สามารถป้องกันความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ เช่น กรณีผู้เข้าร่วมประชุมชอบมาสายเป็นประจำทำให้การประชุมต้องล่าช้าไป หากเราเสนอว่าครั้งต่อไปถ้าอีกฝ่ายมาสายจะขออนุญาตดำเนินการประชุมไปก่อน กรณีนี้หากไม่บอกไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วทำการประชุมไปเลยอีกฝ่ายคงไม่พอใจและอาจจะเกิดการเข้าใจผิดซึ่งกันและกันได้ เป็นต้น นอกจากนั้น ในการเจรจาหากฝ่ายตรงข้ามพูดจาชวนเชื่อและยื่นข้อเสนอที่ดูดีดูเป็นประโยชน์แก่เราไปเสียทุกอย่าง ซึ่งในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น ในการเจรจาทุกครั้งเราต้องพิจารณาด้วยว่าสิ่งที่พูดนั้นพอจะเป็นไปได้จริงหรือ แต่ถ้าอีกฝ่ายยังยืนยันว่าทำได้จริงก็ให้เซ็นสัญญาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่าหากทำไม่ได้ตามที่พูดไว้ อีกฝ่ายจะต้องชดใช้อะไรบ้าง เพื่อป้องกันการถูกหลอกหรือการทะเลาะเบาะแว้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้

Three Key Survival Skills for New Business Owners

The first year of a new business is the toughest. It's the make-it-or-break-it year. The challenges a new business owner faces on a daily basis require three key survival skills: self-reliance, self-direction, and resilience. No matter how brilliant the business idea, without these three skills entrepreneurs risk failure.
  • Self-Reliance

It's a fact of life that every small business owner wears many hats to fill all functions: operations, sales, marketing, finance, human resources-even janitor and chief coffee-maker when needed. Unlike life in corporate America, where each employee has a specialized area of expertise, a new business owner must excel in all of the disciplines required to keep a small business running smoothly. The revenue drain of hiring employees can spell disaster for struggling new businesses.

Self-reliance means more than wearing many hats. It also means depending on self for motivation, discipline and decision making and accountability. The true entrepreneur doesn't need a cheering squad to keep going. The self-reliant business owner is highly skilled at "picking himself up by the boot straps." Without that all-important sense of self-reliance, critical decisions will be delayed and opportunities will be missed.

If you find yourself lacking self-reliance, do a total skills inventory to identify the gap that is holding your business back from prospering to your expectations. Rate yourself on a scale of one to four on each skill needed to run your business. Identifying which skills you are deficient in is the first step toward getting help to solve the problem.

  • Self-Direction

One of the toughest challenges for new business owners is strategic planning: the ability to plan for multiple contingencies to reduce risk of failure. The self-directed entrepreneur analyzes market conditions to anticipate setbacks and defines alternative revenue sources to avoid costly earnings slumps.

Equally important, the self-directed business owner should be efficient in executing daily, weekly and monthly activities crucial to maintaining a continual sales pipeline and revenue stream. A successful entrepreneur needs no supervisor to keep him on track.

Unfortunately, not many people excel at both strategic planning and day-to-day tactical efforts. If you are an entrepreneur who gravitates to "the big picture," daily and weekly task lists will help keep you on track toward your revenue goals. Invest in tools to minimize your busy work so that important data like customer contact information can be easily accessed, yet maintained with minimal effort.

On the flip side, highly detail-oriented business owners without a strategic plan suffer from lack of direction. Make time at least quarterly to consider questions like: "What could I do long-term to improve the efficiency of my operations?" or "What could I be doing differently to attract the kind of customers I prefer?"

  • Resiliency

While it is often true that persistence pays off, resiliency is a more essential skill to new business owners. Resiliency is the ability to change direction when needed. It is the 'bounce back" effect that is truly necessary to avoid business failure.

In business, change is constant:

* Economic conditions can reduce consumer spending

* Shifts in consumer tastes make your product out-of-date

* Improvements in technology make your inventory obsolete

Any or all of these things can mean increased competition and loss of market share for your business. You have to be prepared to deal with them--before they happen.

Those who lack resiliency fall victim to self doubt that all too often means the end of a promising new business. To increase resiliency, practice the old-fashioned skill of "getting back on the horse." When things don't work out as planned, do not stop to anguish over the situation. Immediately consider the best alternative actions to take. Take action as soon as possible. Even a less-than-perfect action plan will get you moving in a positive direction and avoid the stall of self doubt and despair.

A new business owner who builds up his or her self-reliance, self-direction and resiliency will greatly increase the odds of surviving that first year in business. And after the first year, your survival skills will ensure that you are well on your way to many more years of success. credit by Deborah Walker