รวยอย่างมหาเศรษฐี Donald Trump
How to get rich เรื่องราวที่จะนำเสนอในวันนี้นำมาจากหนังสือเรื่อง How to Get Rich เขียนโดย Donald Trump มหาเศรษฐีชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ซึ่งประสบความสำเร็จสูงสุดจากการทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งยังเป็นเจ้าของตึก Trump Tower กลางใจนครนิวยอร์ค เจ้าของโรงแรมระดับห้าดาวหลายแห่ง และสนามกอล์ฟที่ยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา และที่เหนือไปกว่านั้น หนังสือที่เขาเขียนหลายเล่มล้วนเป็นหนังสือขายดีติดอันดับหนึ่ง เช่น The Art of The Deal, Surviving on the Top เป็นต้น เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ถูกนำมาจากประสบการณ์ที่กลั่นกรองแล้ว และปรัชญาในการใช้ชีวิตของ Donald Trump ที่นำเขาไปสู่จุดสูงสุดในชีวิต ประเด็นสำคัญมีดังต่อไปนี้
1. ถ้าจะคิด ให้คิดถึงแต่สิ่งที่ก้าวหน้าและยิ่งใหญ่ (Think Big) เมื่อคิดจะทำสิ่งใดต้องคิดและคาดหวังถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ กว้างไกล ท้าทาย และต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะทำให้เป็นจริง สิ่งเหล่านี้จะเป็นการสร้างโอกาสในการดึงศักยภาพและความสามารถของตนเองออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และทำให้ชีวิตมีคุณค่า ชีวิตมีสีสัน มีเป้าหมาย และเต็มไปด้วยความหวัง เมื่อนั้นพลังจิตและพลังสมาธิจะรวมเป็นหนึ่ง ก่อให้เกิดเป็นแรงผลักดันเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ เมื่อมีเป้าหมายแล้ว หากจะประสบความสำเร็จ ต้องมีองค์ประกอบ 3 ประการ ดังนี้
1.1) ต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวว่า เอื้อประโยชน์หรือเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจของเรามากน้อยแค่ไหน เช่นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศ เศรษฐกิจทั่วโลก งบประมาณในการลงทุน บุคลากรในบริษัท สถานการณ์ของบริษัทคู่แข่ง และคุณภาพสินค้าของเรา เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องมีการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ จากหนังสือ ที่เกี่ยวกับประวัติหรือแนวทางการดำเนินธุรกิจของผู้ที่ประสบความสำเร็จในด้านต่าง ๆ เพื่อศึกษากลยุทธ การบริหาร การบริการ และนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเรา และที่สำคัญต้องให้เวลากับตัวเอง เช่น นั่งเงียบ ๆ ในที่สงบ ๆ เพื่อทบทวนระบบความคิดและวิธีการบริหารของเราอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่ถึงยุทธวิธีในการบริหารแล้ว จึงลงมือกระทำและประสานงานให้ลูกน้องปฏิบัติตาม ดังนั้น ผู้บริหารในมุมมองของ Donald Trump คือผู้ที่ชี้ให้คนในองค์กรเห็นถึงทิศทางในการดำเนินงานและสามารถชักนำองค์กรไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้
1.2) ต้องมีความอุตสาหะบากบั่น ทำงานหนัก และอดทนเมื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรค เพราะการทำธุรกิจที่ไม่มีอุปสรรคถือว่าไม่ใช่การทำธุรกิจ และต้องคิดว่าอุปสรรคเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเผชิญ เมื่อคิดได้เช่นนี้ความเครียดจะไม่เกิด ทำให้มองปัญหาได้ชัดเจน จัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของปัญหาได้ Donald Trump จะคิดอยู่เสมอว่าการจะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องเกิดจากความพยายามอย่างแน่วแน่ ไม่มีการรอคอยโชคชะตามาดลบันดาล ไม่มีทางลัด ทุกอย่างได้มาจากความพยายามและน้ำพักน้ำแรงอย่างแท้จริง
1.3) ไม่ปล่อยให้ความคิดในแง่ลบ เข้ามาครอบงำจิตใจ Donald Trump กล่าวไว้ว่า การมองสิ่งต่าง ๆ ให้มองในแง่บวก กว่าจะมาถึงวันนี้เขาได้รับสิ่งดี ๆ อะไรบ้าง มองแต่สิ่งดีงามที่เกิดขึ้นในชีวิต เพราะการคิดในแง่ลบเป็นบ่อเกิดแห่งความไม่สบายใจ ความอึดอัด ความทุกข์ใจ ความเครียด ความกังวล ซึ่งจะบั่นทอนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต จึงต้องรีบกำจัดทิ้ง Donald Trump ได้อุปมาอุปไมยไว้ว่า เราจะบินได้อย่างไร หากเราหักปีกของเราไปเสียก่อนแล้ว ซึ่งความคิดในแง่ลบดังกล่าวนั้น ล้วนเกิดมาจากความกลัวและความกังวลใจ แต่เราสามารถเอาชนะได้ด้วยการมีข้อมูลที่ครบถ้วน เพราะทำให้มีความมั่นใจและกล้าที่จะตัดสินใจ ดังนั้น ก่อนทำสิ่งใดต้องมีการศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบเสียก่อน แล้วจึงลงมือกระทำ Donald Trump มีวิธีการมองโลกในแง่บวกคือ จดคำคมของเหล่าบรรดานักปราชญ์ หรือนักคิดต่าง ๆ ของโลก เช่น คำคมจากผู้ที่เป็นบิดาของเขาคือ Fred Trump จะต้องรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณกำลังทำอยู่ (Know everything you can about what you’re doing) หรือคำคมจากรัฐบุรุษและบุคคลชั้นนำของโลก อาทิ
- นโปเลียน ความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัส เป็นสิ่งที่จะต้องเผชิญ ดังนั้น จึงไม่มีสิทธ์ที่จะคิดกังขาหากคิดที่จะเป็นผู้นำ (A leader has a right to be beaten but never the right to be surprised)
- อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จินตนาการมีค่ามากกว่าความรู้ (Imagination is more important than knowledge) หมายถึงการศึกษาเล่าเรียนจากตำราต่าง ๆ ไม่ได้ทำให้คนฉลาด หากขาดจินตนาการ
- วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ การดึงศักยภาพที่แท้จริงของมนุษย์ออกมานั้น ทำได้โดยการทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง (Continuous effort,not strength or intelligence,is a key to unlocking our potential)
- และตัวอย่างคำคมของไทยคือ ก้าวเถิดก้าวต่อไปไกลที่สุด มิพึงรั้งยั้งหยุด ณ จุดไหน แม้นขวากหนามขวางกั้นจะหวั่นไย แสงเรื่องไรแห่งหวังสิรังรอง
2. หลักในการทำธุรกิจของ Donald Trump
2.1) ก่อนจะทำธุรกิจต้องตั้งคำถามว่า มีใครอีกไหมในวงการ ที่ผลิตสินค้าหรือบริการได้ดีกว่าเรา ถ้าพบว่ามี ให้ถามต่อไปว่า แล้วเขามีช่องโหว่ หรือจุดด้อยตรงไหน ที่เราจะเข้าไปแทนที่ได้บ้าง
2.2) อย่ามัวหลงไปกับความคิดที่ล่องลอย แต่จะต้องดูว่าที่วาดฝันในอากาศนั้น มันทำได้จริงหรือไม่ และเราลงมือกระทำแล้วหรือยัง
2.3) มองหาบุคลากรที่เก่งมีความสามารถ และมีทัศนคติที่เหมาะสมกับงานของเรา และเมื่อประสบปัญหาระหว่างผู้ร่วมงานให้คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่อย่างไรก็ต้องเกิด และในฐานะผู้บริหารต้องพยายามแก้ไข และประสานความสัมพันธ์ให้ได้ ดังนั้น การคัดเลือกคนเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาและต้องผ่านการพิจารณาอย่างถ้วนถี่ เพราะการไล่คนออกแต่ละครั้งจะกระทบกระเทือนต่อขวัญและกำลังใจของพนักงาน ซึ่งจะส่งผลไปสู่คุณภาพของงานได้
2.4) ต้องมีใจจดจ่อกับการรักษาคุณภาพของสินค้าและบริการให้สูงที่สุดเหนือผู้อื่นและคงอยู่ให้นานที่สุด และไม่ยอมให้ปัญหาส่วนตัวมามีผลกระทบต่อการทำงานโดยเด็ดขาด
2.5) ในฐานะผู้บริหารต้องศึกษารายละเอียดทุกอย่างเพื่อให้รู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น หากเกิดปัญหาจะได้แก้ไขได้อย่างทันท่วงที อย่าคิดว่าตัวเองเก่งแก้ปัญหาได้หมด เพราะเป็นการประมาทและอาจทำให้มองข้ามในจุดเล็ก ๆ ไป ซึ่งบางครั้งก็เป็นต้นเหตุของปัญหาใหญ่ ๆ ได้อย่างที่เราคาดไม่ถึง
2.6) หากรักที่จะก้าวไปอยู่จุดสูง ต้องมีจิตใจที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่เข้ามากระทบ และเมื่อประสบความสำเร็จแล้วต้องรักษาความสำเร็จนั้น ๆ ให้ต่อเนื่องและยาวนานได้ โดยต้องอาศัยลูกน้องที่เก่ง ๆ และมีความรักในองค์กร และที่สำคัญผู้บริหารเองต้องแสดงออกให้ลูกน้องเห็นถึงความกระตือรือร้น และมีไฟในการทำงานอยู่เสมอ เพื่อให้ลูกน้องเกิดแรงบันดาลใจและนำไปเป็นแบบอย่าง
3. การปฏิบัติตนต่อลูกน้องตามหลักของ Donald Trump
3.1) ต้องกำหนดแบบแผนในการทำงานอย่างชัดเจนว่า ผลสุดท้ายองค์กรต้องการอะไรบ้างจากตำแหน่งนี้ และจะมีวิธีการวัดผลอย่างไร และมีขั้นตอนอย่างชัดเจนว่าหากลูกน้องอยากจะก้าวหน้าต้องทำอย่างไรบ้าง
3.2) Donald Trump กล่าวไว้ว่า ลูกน้องที่ดีนั้นต้องมีความทะเยอทะยาน และมีความภูมิใจในงานที่ทำอยู่เห็นคุณค่าของงานที่กำลังทำ มีการประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทประหนึ่งว่าเงินบริษัทเป็นเสมือนเงินของตนเอง และวิธีที่จะทดสอบลูกน้องคือ ให้อำนาจแก่ลูกน้องมาก ๆ เพราะมนุษย์เมื่อมีอำนาจอยู่ในมือ นิสัยดั้งเดิมจะผุดออกมาให้เห็น ผู้บริหารจะต้องดูว่าคน ๆ นั้นเมื่อมีอำนาจแล้ว จะใช้เหตุผลในการตัดสินใจหรือไม่ หรือใช้อำนาจบาทใหญ่ข่มเหงผู้อื่น ซึ่งวิธีนี้สามารถนำไปใช้พิจารณาการเลื่อนตำแหน่งของพนักงานได้ และต้องพยายามรักษาลูกน้องที่ดีให้อยู่กับองค์กรให้นานที่สุด เพราะลูกน้องที่ดีเพียงร้อยละ 20 จะสามารถสร้างรายได้ให้กับองค์กรได้ถึง ร้อยละ 80 ของรายได้ทั้งหมด
3.3) Donald Trump เลือกที่จะส่งเสริมลูกน้องคนใดนั้น โดยประเมินจาก ความรับผิดชอบในหน้าที่ ความมุ่งมั่นในการทำงาน คุณภาพงานไม่มีด่างพร้อย มีความรักในองค์กร เห็นได้จากตัวอย่างคือ ลูกน้องคนสนิทที่เป็นมือซ้ายของ Donald Trump นั้น เคยเป็นยามรักษาความปลอดภัยมาก่อนซึ่งไม่มีพื้นฐานเกี่ยวกับการบริหารมาก่อนเลย แต่มีความตั้งใจในการทำงาน Donald Trump ก็เปิดกว้างยินดีที่จะรับเข้ามาฝึกงาน และถ้าทำงานดีเขาก็ไม่เกี่ยงที่จะสนับสนุนจนเป็นถึงผู้บริหารระดับสูง สิ่งนี้ Donald Trump แสดงให้เห็นว่า คนที่จะได้รับการสนับสนุนนั้นไม่ได้ประเมินจากแค่ระดับการศึกษาแต่เพียงอย่างเดียว
3.4) Donald Trump จะกระตุ้น และให้กำลังใจลูกน้องอยู่ตลอดเวลาว่า คุณจะต้องทำได้ คุณจะต้องประสบความสำเร็จ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนในการผลิตผลงานให้กับองค์กร
4. ลูกน้องควรจะปฏิบัติตนอย่างไร จึงจะก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
4.1) การเสนอผลงานหรือแนวความคิดแก่เจ้านายต้องสั้น กระชับ เข้าใจง่าย และตรงประเด็นเพราะเวลาของผู้บริหารนั้นทุกนาทีมีค่า และต้องบอกได้ว่าที่เสนอไปนั้นมีข้อดีอย่างไร และหากเจ้านายไม่เห็นดีด้วยก็ไม่จำเป็นต้องตีโพยตีพาย เพราะบางทีอาจจะมีข้อจำกัดบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถอนุมัติได้ แต่หากเจ้านายไม่ยอมรับบ่อยครั้งเข้า ให้มองย้อนกลับมาว่าเรามีวิสัยทัศน์แคบไปหรือเปล่า หรือเรามองข้ามอะไรไปไหม และครั้งต่อไปก่อนจะนำเสนอให้ถามตัวเองก่อนว่าถ้าเราเป็นเจ้านาย เราจะเห็นด้วยกับแนวความคิดนี้หรือไม่ แต่ถ้าเราเองยังไม่แน่ใจ ให้เลื่อนการนำเสนอไปก่อนและหาข้อมูลเพิ่มเติมตรงจุดที่ไม่แน่ใจ แล้วจึงค่อยนำเสนอ
4.2) ลูกน้องที่อยากจะประสบความสำเร็จต้องระมัดระวังกิริยาท่าทาง ภาพพจน์ต้องดี ต้องมีภาพของลูกน้องที่อดทน ขยันทำงาน มีความมุ่งมั่น การสร้างภาพนั้นไม่ผิดถ้าเราทำได้จริงอย่างที่สร้าง แต่ถ้าได้แต่สร้างภาพแต่ไม่ทำ ถือว่าเป็นการหลอกลวง และลูกน้องที่ดีหากเกิดอุปสรรคต้องไม่โทษคนอื่น ไม่โทษสิ่งแวดล้อม เมื่อเกิดปัญหาก็ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละอย่าง ด้วยความอดทน ไม่ย่อท้อ
4.3) ในการเสนอผลงานในแต่ละครั้งต้องคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดอุปสรรคอะไรบ้าง จะแก้ไขได้อย่างไรหากเจอในสถานการณ์จริง จะได้มีสติ และสามารถแก้ไขได้
4.4) เมื่อทำงานไปสักพักหนึ่ง คิดว่าคงไปไม่ไหว ก็ให้เปลี่ยนงาน แต่ต้องดูด้วยว่างานใหม่นั้นเหมาะกับเราจริงหรือไม่ เมื่อไปทำแล้วจะเจริญก้าวหน้าหรือไม่ และเหตุผลที่ออกจากที่เดิมคืออะไร หรือเกิดจากอารมณ์ล้วน ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องมองให้ออก และการขอขึ้นเงินเดือนจากเจ้านายต้องดูทิศทางลมด้วย เพราะหากเข้าไปผิดเวลา นอกจากจะไม่ได้ขึ้นเงินเดือนแล้วอาจจะโดนตำหนิด้วย
5. กลยุทธในการเจรจาให้ประสบผลสำเร็จ ต้องพยายามโน้มน้าวจิตใจฝ่ายตรงข้ามให้ได้ โดยการพูดจา ท่าที ต้องแสดงออกด้วยความมั่นใจ ข้อเสนอทั้งหมดต้องครบถ้วน เต็มไปด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อถือ หากเราเป็นอีกฝ่ายเมื่อฟังแล้วจะต้องไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ดังนั้น การจะพูดอย่างนั้นได้ต้องมีการซ้อมพูดมาหลาย ๆ ครั้งก่อน เพื่อให้เกิดความคล่องแคล่ว ไม่ติดขัด และก่อนไปเจรจาต้องมีข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม เช่น คน ๆ นี้ ส่วนใหญ่ใช้กลวิธีอะไรในการเจรจา และคน ๆ นี้ต้องการอะไรจากเรา และเราต้องการอะไร ต้องดูให้ออกทั้งหมดก่อนการไปเจรจา และในการเจรจาต้องไม่ลืมที่จะเชื่อความรู้สึกของตัวเอง หากพบว่าไม่ชอบมาพากลฝ่ายเรากำลังจะเสียเปรียบหรือโดนฝ่ายตรงข้ามบีบคั้นให้สรุปข้อตกลงมากจนผิดปกติ ให้เลื่อนการสรุปผลไปก่อน หรือยกหัวข้อใหม่ให้ฝ่ายตรงข้ามไปหาข้อมูลเพิ่ม เพื่อเป็นการยืดเวลาในการตัดสินใจ และหากลวิธีใหม่ในการเจรจาต่