The Law of Success เป็นหนังสือที่ได้รับการยอมรับสูงสุดจนเรียกได้ว่าเป็นหนังสือต้นแบบของหนังสือ Self-improvement ในปัจจุบัน ผู้แต่งคือ Dr. Napoleon Hills ท่านผู้นี้มีความสามารถและโด่งดังจนได้รับความไว้วางใจให้เป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีอเมริกาถึงสามสมัย ผู้แต่งใช้เวลารวบรวมข้อมูลนานกว่า 20 ปีในการสัมภาษณ์บุคคลที่ประสบความสำเร็จทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาเพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์ว่า บุคคลเหล่านี้มีมุมมองและแนวคิดอย่างไรที่นำพาไปสู่ความสำเร็จ ตัวอย่างบุคคลดังกล่าวคือ Henry Ford, Firestone, Thomas Edison เป็นต้น ใจความสำคัญของหนังสือประกอบด้วยกฎทองคำ 16 ประการเกี่ยวกับหลักปฏิบัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จได้แก่
1. อภิจิต
อภิจิตคือกลุ่มคนตั้งแต่สองคนขึ้นไปที่มีแนวความคิดไปในทางเดียวกัน และมีความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน คนที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องมีบุคคลเหล่านี้มาร่วมชีวิตหรือร่วมงานเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนเป้าหมายที่ตั้งไว้ประสบความสำเร็จ แต่มีข้อควรระวังประการหนึ่งคือคนที่คิดไม่เหมือนกับเราก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นศัตรูกับเราเสมอไป เพราะในการทำงานความคิดที่แตกต่างในเชิงสร้างสรรค์ย่อมเป็นสิ่งดีที่จะช่วยสร้างนวัตกรรมใหม่ได้ ดังนั้น คนที่จะเราจะเลือกมาอยู่ในทีมควรมีคนที่คิดแตกต่างแต่ไม่แปลกแยกรวมอยู่ด้วย
การสร้างอภิจิตคือการเลือกคบคนที่จะเข้ามาในชีวิตของเราอันได้แก่ สามีภรรยา เพื่อนสนิท เป็นต้น คนเหล่านั้นจะต้องมีจิตใจที่ดี มีความเข้มแข็ง มีความเอื้ออาทร จริงใจ เต็มใจที่จะร่วมหัวจมท้ายกับเรา และมีความสามารถ ส่วนผู้ร่วมงานควรเลือกคนดีมีความสามารถมีความขยันขันแข็ง หนักงาน ไม่คิดเล็กคิดน้อย ใจกว้าง และรู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม
2. มีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน
การมีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอนจะทำให้ทุก ๆ พฤติกรรมของเราทั้งการพูด ความคิด และการกระทำไม่เสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ คนที่จะมีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอนได้จะต้องรู้ว่าตนเองมีความชอบ มีความถนัดในงานประเภทใดบ้าง และอยากจะเป็นอะไรในอนาคต การจะรู้ว่าตนเองชอบสิ่งใดนั้นจะต้องรู้จักสังเกตอารมณ์ของตัวเองว่า เมื่อไรเราทำสิ่งใดแล้วมีความสุขหรือเมื่อเจอคนในอาชีพใดแล้วเรารู้สึกประทับใจ ส่วนความถนัดสามารถรู้ได้จากคำชมจากคนรอบข้างว่าเราเก่งในเรื่องใดบ้าง เป็นต้น เมื่อมีเป้าหมายแล้วให้สร้างเป็นมโนภาพภายในจิตใจและเขียนติดไว้ในห้องนอนอ่านทบทวนทุกวันเพื่อสื่อกับจิตใต้สำนึกของเราเอง นอกจากนั้น เป้าหมายของเราควรเก็บไว้เป็นความลับจะบอกกล่าวได้ก็แต่คนที่เข้าใจเราจริง ๆ เช่น สามีภรรยา หรือเพื่อนสนิทเท่านั้น เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมีความลังเลสงสัย ดูถูกดูแคลน และอิจฉาริษยาอยู่ตลอดเวลาน้อยคนนักที่จะเชื่อและช่วยเสนอแนวทางให้ไปถึงซึ่งเป้าหมายนั้น และสิ่งสำคัญที่สุดคือเราจะต้องไม่ยอมแพ้กับความยากลำบากทั้งปวงถึงแม้ว่าจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจสักเพียงไหนและจะต้องใช้เวลานานสักเพียงใด เราต้องทำได้เพราะ “ท่านทำได้ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้”
3. มีความมั่นใจในตัวเอง
ความมั่นใจเกิดจากการรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ทุกแง่ทุกมุม ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ความชอบและไม่ชอบอะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราไม่เห่อเหิมไปตามคำเยินยอของผู้อื่น เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเรามีจุดแข็งในด้านนี้ และเมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์เราก็จะไม่ห่อเหี่ยวเศร้าใจ หรือโมโหโกรธามากจนเกินไปนักเพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเป็นจุดอ่อนซึ่งเรากำลังพยายามปรับปรุงแก้ไขอยู่และขอน้อมรับคำติชมด้วยความเต็มใจ ผู้แต่งได้เสนอวิธีการสร้างความมั่นใจคือ
1. ขจัดความกลัว มนุษย์ทุกคนมีความกลัวอยู่ 6 ประการ ได้แก่
1) กลัวความยากจน ความยากจนป้องกันได้ด้วยการมีนิสัยประหยัดอดออมและรู้จักใช้จ่ายอย่างพอดี
2) กลัวความชราภาพ สังขารย่อมร่วงโรยไปตามสภาวะธรรมชาติแต่จิตใจของเราต่างหากจะต้องไม่ร่วงโรยไปตามร่างกาย ป่วยกายแต่อย่าป่วยจิต
3) กลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์ มนุษย์ส่วนใหญ่รวมทั้งตัวเราเองมักจะมองเห็นส่วนที่ไม่ดีของผู้อื่นได้อย่างรวดเร็วและชัดเจนมากกว่าส่วนดีซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้น เมื่อโดนวิพากษ์วิจารณ์เราต้องเลือกใส่ใจกับคำวิจารณ์ที่มาพร้อมกับทางแก้เท่านั้น คนที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างเดียวเราก็รับฟังแต่จะไม่ใส่ใจแม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงก็ตามที
4) กลัวสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยามรักกันอะไรก็ดูดีไปเสียทุกอย่างมนุษย์จึ่งไม่อยากสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน การพลัดพรากเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไปเสียไม่ได้
5) กลัวสุขภาพเสื่อมโทรม หากเราดูแลสุขภาพให้ดีเสียตั้งแต่ต้น เริ่มตั้งแต่การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อดูแลสุขภาพดีก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่ามันจะเสื่อมโทรมไปก่อนวัยอันควร
6) กลัวความตายความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ หากตอนยังมีชีวิตอยู่เราได้ให้ความเอาใจใส่ดูแลคนที่เรารักเป็นอย่างดีแล้ว การอยู่หรือการตายย่อมไม่ต่างกันเพราะคน ๆ นั้น จะอยู่ในใจของเราตลอดไป
2. มองโลกในแง่ดี คิดแต่ด้านบวก
1) ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้เพียงแต่เราหาทางแก้แล้วหรือยัง
2) มองสถานการณ์ปัญหาต่าง ๆ ให้ทะลุปรุโปร่ง เลวร้ายที่สุดของเรื่องนี้คืออะไร มีอะไรที่จะช่วยบรรเทาปัญหาเหล่านั้นได้บ้าง เมื่อเราสามารถคลี่คลายปัญหาต่าง ๆ ได้ เราจะเกิดความมั่นใจในตัวเองทันที
4. นิสัยประหยัดอดออม
คนที่ปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จจะต้องรู้จักประหยัดอดออมเพราะจะทำให้รู้คุณค่าของเงิน และเมื่อจะต้องลงทุนทำสิ่งใดจึงไม่ผลีผลามและลงทุนตามความเหมาะสม โอกาสที่จะผิดพลาดย่อมมีน้อย จึงทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
5. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และมีความเป็นผู้นำ
คนที่จะเป็นผู้นำได้จะต้องมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อใช้ในการปรับปรุงผลงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คนที่จะมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้จะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1) มองสถานการณ์เหนือกว่าผู้อื่น
2) มีสิ่งที่คนอื่นไม่มี
3) ลงมือทำ เลิกผลัดวันประกันพรุ่ง
4) มีพลังชีวิต มีความกระตือรือร้น มีนิสัยทำงานเกินเงินเดือน
ผู้นำจะต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้
1) มีความรู้ความสามารถ
2) เชื่อว่าตนเองมีความเชื่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ เหนือกว่าผู้อื่น
3) รู้จักตนเองอย่างถ่องแท้
4) กล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองกระทำโดยไม่โทษผู้อื่น
5) ปฏิบัติกับคนอื่นเสมือนหนึ่งเป็นคนในครอบครัว
6) มีความเมตตา รู้จักให้ และเสียสละ
7) สามารถสร้างแรงจูงใจให้คนรอบข้างได้ และมีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน
8) มองภาพรวมเน้นผล รู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่และอยู่ตรงจุดไหนของทางเดินชีวิต และอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงเป้าหมาย
9) ตัดสินใจอย่างรวดเร็วและถูกต้อง
10) มอบหมายงานได้อย่างถูกต้องตามจริตและความสามารถของลูกน้อง
6. มีจินตนาการ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายล้วนใช้จินตนาการในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น จินตนาการเป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมา และจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอนกอปรกับความเชื่อมั่นว่าเราต้องสามารถฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ เมื่อจิตมีความนิ่งสงบในระดับหนึ่งจึงค่อยสร้างมโนภาพและน้อมจิตถามตัวเองว่าเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ทางแก้จะมีมากมายหลายวิธีแต่จะมีเพียงวิธีเดียวที่ใช้ได้ ซึ่งจะรู้ได้โดยการใช้ความรู้สึกเข้าไปทาบว่าอันไหนใช่หรือไม่ใช่ ส่วนใหญ่แล้วจินตนาการมักเกิดขึ้นตอนสภาวะวิกฤตแต่ในสภาวะปกติหากจำเป็นต้องใช้จินตนาการก็ต้องสร้างภาวะความกดดันขึ้นมาเช่น ให้คิดว่าถ้าอีกเจ็ดวันเราจะต้องตายจากโลกนี้ไป เราอยากจะทำอะไรบ้าง และเราได้ลงมือกระทำแล้วหรือยัง เป็นต้น
7. มีความกระตือรือร้น
คนที่มีความกระตือรือร้นจะสามารถดึงดูดคนที่พลัง มีความสามารถเข้ามาร่วมทีมได้โดยง่ายเพราะบุคลิกที่ดูมีชีวิตชีวา หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ใคร ๆ ก็อยากเข้าใกล้คบหาสมาคมด้วย ผู้แต่งกล่าวเพิ่มเติมว่าความกระตือรือร้นอยากจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้อย่างเดียวยังไม่พอต้องลงมือกระทำให้เกิดเป็นผลงานด้วย และที่สำคัญจะต้องรู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกันอย่างชัดเจน เวลาทำงานก็ทำอย่างเต็มที่เวลาพักผ่อนก็ไม่เอาเรื่องงานมาเป็นกังวล
8. สามารถควบคุมตนเองได้
การควบคุมตนเองให้ทำในสิ่งที่ตรงตามเป้าหมายทำได้โดยการหมั่นถามตนเองอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่(ทั้งในความคิด คำพูด และการกระทำ) ทำไปทำไม ทำแล้วจะเกิดผลอะไร สอดคล้องกับเป้าหมายของเราหรือไม่ เป้าหมายของเราตอนนี้เป็นรูปเป็นร่างแค่ไหนแล้ว นอกจากนั้น สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือการควบคุมอารมณ์โกรธ ต้องบอกตัวเองว่าห้ามระเบิดอารมณ์ใส่ผู้อื่นโดยเด็ดขาดเพราะจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ถึงแม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกก็ตามเพราะเวลาคนเราทะเลาะกันไม่มีใครยอมฟังเหตุผลแน่นอน จึงเป็นการเปล่าประโยชน์ที่จะมาเอาชนะในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หัดปิดหูปิดตากับเรื่องไร้สาระแล้วเอาเวลามาสานความฝันของเราให้เป็นจริงจะดีกว่า วิธีการควบคุมอารมณ์และคำพูดคือพูดทีละคำฟังทีละเสียง เพราะเมื่อเราได้ยินเสียงที่ตัวเองพูดทุกคำเราจะมีความละอายที่จะใช้คำพูดรุนแรงและหยาบคาย
9. มีนิสัยทำงานเกินเงินเดือน
คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องมีความรักในงานที่ทำอยู่ อยากให้งานออกมามีคุณภาพ และรู้สึก ภูมิใจที่ได้ทำงานนั้น ๆ รู้สึกว่าตนเองมีค่าต่อองค์กร และอยากให้องค์กรมีความเจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ การมีนิสัยทำงานเกินเงินเดือนจะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ไม่ยากเพราะเมื่อเราตั้งใจทำงานชิ้นหนึ่งจนประสบความสำเร็จจะเกิดความมั่นใจและมุ่งมั่นที่จะทำงานให้ดีต่อไปความสำเร็จก็ย่อมตามมาอย่างไม่ขาดสาย ถึงแม้ว่าจะเจออุปสรรคบ้างก็ไม่ย่อท้อเพราะเป็นงานที่เรารัก และมองปัญหาว่าเป็นส่วนที่จะทำให้งานออกมาสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
10. มีบุคลิกภาพที่ดี
บุคลิกภาพที่ดีคือการมีความมั่นใจในตัวเอง มีความกระตือรือร้น มีความเป็นผู้นำ ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่น และสามารถควบคุมคำพูด อารมณ์ สีหน้า และการแสดงออกได้เป็นอย่างดี มีกาละเทศะ วิธีการสร้างบุคลิกภาพที่เร็วที่สุดคือการสร้างภาพคนที่มีบุคลิกภาพที่น่าประทับใจไว้ในจิตใต้สำนึก แล้วทุก ๆ อิริยาบถเราจะลอกเลียนแบบไปตามนั้น
11. มีความคิดที่ถูกต้องและเที่ยงตรง ได้แก่
1) มองความจริงตรงตามความเป็นจริง สามารถแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากข้อมูลทั้งหลายได้
2) ไม่สนใจคำนินทาหรือข่าวโคมลอย ใส่ใจแต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง
3) ไม่มองโลกเป็นสีขาวหรือดำให้มองเป็นกลาง ๆ เช่น เมื่อประสบความสำเร็จก็ไม่ดีใจจนออกนอกหน้าเพราะถ้าประมาทชะล่าใจก็ล้มเหลวได้เช่นเดียวกัน หรือเมื่อผิดหวังก็ไม่เศร้าสร้อยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ เพียงแต่ว่าเราหาทางแก้แล้วหรือยัง เป็นต้น
4) รับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวเรา แม้ว่ามันจะเป็นความเป็นจริงที่เจ็บปวดก็ตามเพื่อนำมาแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้นต่อไป
5) ไม่วิตกกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเพราะความกังวลไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น รังแต่จะทำให้สิ่งที่กังวลเป็นจริงขึ้นมา เพราะการย้ำคิดย้ำทำเสมือนเป็นการสะกดจิตตัวเอง
6) รับฟังข้อมูลแล้วนำมาพิจารณาทุกครั้งโดยยึดหลักกาลามสูตรได้แก่อย่าเชื่อเพราะเขาทำตาม ๆ กันมา อย่าเชื่อเพราะเป็นครูบาอาจารย์หรือคนที่เราเคารพเพราะเขาอาจจจะพูดผิดก็ได้ อย่าเชื่อเพราะฟังดูแล้วมีเหตุมีผลเพราะเขาอาจจะหลอกเราก็ได้ อย่าเชื่อเพราะว่ามันเหมือนกับที่เราคิดไว้เลยเพราะเราก็อาจจะคิดผิดได้เช่นเดียวกัน
7) อย่าปักใจเชื่อว่าข้อมูลที่ได้รับมา ณ ปัจจุบันนี้จะต้องเป็นจริงไปตลอดกาลเพราะเมื่อมีเหตุและปัจจัยใหม่ ๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงได้เช่น มีข้อมูลใหม่มาหักล้างข้อมูลเดิมหรือข้อมูลเดิมอาจจะล้าสมัยไปแล้วใช้ไม่ได้ เป็นต้น
12. มีความใจจดใจจ่อ
การจดจ่ออยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเรื่องนั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีจะเป็นการฝึกจิตให้เป็นสมาธิและมีพลัง เมื่อจิตมีพลังจึงจะสามารถสานความฝันให้เป็นจริงได้ นอกจากนั้น การทำงานทีละอย่างยังเป็นการฝึกนิสัยอดทนอดกลั้น ไม่ทำตามใจตัวเอง สิ่งเหล่านี้ต้องฝึกจนเป็นนิสัยต้องบอกตัวเองอยู่เสมอว่าอย่าว่อกแว่กทำงานทีละอย่าง และต้องรู้จักเลือกทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์และสำคัญในชีวิต การจะสร้างนิสัยใหม่ได้จะต้องตระหนักถึงข้อเสียของนิสัยเดิมและเห็นข้อดีของนิสัยใหม่เสียก่อนเช่น การทำงานหลายอย่างจะจับจด ไม่สำเร็จสักอย่าง จิตก็เป็นกังวล เครียด ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำแต่มีผลงานนิดเดียวสุขภาพก็เสื่อมโทรม แต่ถ้าทำทีละอย่างงานจะมีคุณภาพเมื่อได้รับคำชมก็จะมีกำลังใจที่จะผลิตผลงานดี ๆ ออกมาเรื่อย ๆ เป็นต้น คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องมีกรอบความคิดที่ถูกต้องและหมั่นปฏิบัติตามแนวคิดนั้นอย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย
13. มีความสามัคคี
ความสามัคคีในกลุ่มอภิจิตเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งเพราะคนที่มีความมุ่งมั่น มีความใจจดใจจ่อ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกันเมื่อร่วมพลังกายพลังใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจะเกิดพลังที่จะสร้างสิ่งที่หวังไว้ให้เป็นจริงได้อย่างแน่นอน แต่คนส่วนใหญที่มาร่วมทีมกันแล้วไม่ประสบความสำเร็จเพราะมีนิวรณ์ 5 เป็นตัวขัดขวางอันได้แก่ ความอิจฉาริษยา ความโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาท ความเบื่อหน่ายไม่กระตือรือร้น ความลังเลสงสัยโลภมาก และความอยากมีอยากเป็นชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกัน ดังนั้น การจะดึงคนมาร่วมทีมจะต้องเลือกคนที่มีคุณภาพจิตดีเพื่อจะได้ไม่เป็นตัวบั่นทอนกำลังกายและกำลังใจของคนภายในกลุ่ม
14. ไม่กลัวความล้มเหลว
ปัญหาและอุปสรรคเป็นสิ่งที่จะต้องเผชิญและเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหมด จงมองสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาและคิดเสียว่ามันเป็นเหมือนบททดสอบความเข้มแข็งและความกล้าหาญหากเราผ่านพ้นไปได้เราจึงจะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง เปรียบได้กับว่าวจะลอยสูงได้ก็ต้องปะทะกับลมพายุที่รุนแรง ถ้าว่าวนั้นสามารถประคับประคองจนผ่านวิกฤตไปได้ว่าวนั้นจะลอยสูงเทียมฟ้า ปัญหา อุปสรรค และความล้มเหลวในชีวิตจะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราดีขึ้น เก่งขึ้น และฉลาดขึ้นทุกวัน ๆ และยังเป็นการฝึกจิตให้อยู่ได้ในทุกสภาวะ คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องมีความเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เราทำนั้นมันถูกต้องและจะพยายามทำต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งจนกว่าความฝันที่วาดไว้จะเป็นจริง
15. มีใจกว้าง ได้แก่
1) รู้จักให้วัตถุและน้ำใจไมตรีตามสมควรโดยที่เราไม่เดือดร้อนและไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ
2) รู้จักให้อภัยต่อคนที่ทำให้เราโกรธเกลียดหรือคนที่เอาเปรียบเราเพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพจิตใจให้สูงขึ้น นอกจากนั้น จะต้องรู้จักให้อภัยตนเองด้วยเมื่อทำผิดพลาดไปแล้วมันย้อนเวลากลับไปไม่ได้ก็ไม่ควรจมอยู่กับอดีต ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบทำผิดก็แก้ไขและศึกษาข้อผิดพลาดไว้เป็นบทเรียนจะได้ไม่ทำผิดซ้ำ
3) เปิดรับความคิดใหม่ ๆ จะเป็นการสร้างพลังชีวิตทำให้เราสามารถอยู่ได้กับทุกคนในทุกสถาวะ แต่เราจะรู้และเลือกว่าใครคือบุคคลที่เราควรจะเลือกคบ
16. ท่านทำได้ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้