บทความที่นำเสนอสรุปประเด็นจากหนังสือเรื่อง The Road Less Travelled แต่งโดย Dr. M. Scott Peck จิตแพทย์ผู้เชื่ยวชาญในการบำบัดรักษาคนไข้มานานหลายสิบปี สมมติฐานของผู้แต่งมีอยู่ว่า คนที่อยากจะประสบความสำเร็จจะต้องรู้จักระบบความคิดและความเชื่อของตนเองอย่างถ่องแท้เสียก่อนทั้งแง่บวกและแง่ลบ แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ยอมรับตรงจุดนี้ และมักจะมองโลกไม่ตรงตามความเป็นจริง จึงทำให้เกิดความทุกข์ร้อนเศร้าหมองใจตลอดเวลา
ดังนั้น ผู้แต่งจึงเสนอวิธีการมองโลกที่จะนำมาซึ่งความสุข และความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงาน ใจความสำคัญ มีดังต่อไปนี้
"ชีวิตนั่นเป็นเรื่องยาก Life is difficult" ประโยคนี้เป็นประโยคแรกสุดของหนังสือเล่มนี้ โดยผู้แต่งกำลังชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงที่ว่า ชีวิตไม่ใช่ของง่าย ชีวิตเต็มไปด้วยปัญหา อุปสรรค และสิ่งที่ท้าทายที่คอยให้เราฟันฝ่า ฉะนั้น ในการใช้ชีวิต เราจะต้องมีสติสัมปชัญญะ ระมัดระวังคำพูดและการกระทำของเรา และที่สำคัญคือจะต้องยอมรับว่าตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็จะต้องเผชิญปัญหาอยู่ร่ำไป ชีวิตจึงไม่ใช่ของง่ายอย่างที่เราคิด เมื่อเรายอมรับได้จะทำให้เราไม่เครียด และสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงตามความเป็นจริง นอกจากนั้น ผู้แต่งแนะนำว่า ให้มองอุปสรรคทั้งหลายเป็นเหมือนบทเรียนที่จะฝึกฝนให้เรามีความเข้มแข็ง อดทน และเฉลียวฉลาดมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
คนที่จะมีความสุข+ความสำเร็จต้องมีอุปนิสัยและทักษะในการมองโลก ดังนี้
1. นิสัย 4 ประการที่ควรปฏิบัติ (Disciplines)
1) ยอมลำบากตอนนี้ เพื่อสบายในวันหน้า (Delay immediate gratification)
เมื่อเผชิญหน้ากับความยากลำบาก คนส่วนใหญ่มักชอบหนีปัญหา โดยแกล้งไปทำสิ่งอื่นเพื่อให้เกิดความสบายใจ และได้แต่หวังว่า เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็ดีขึ้นเอง การกระทำเช่นนี้ นอกจากจะไม่ช่วยให้ปัญหาคลี่คลายแล้ว ยังจะทำให้ปัญหายิ่งบานปลายและยากต่อการแก้ไข ดังนั้น เมื่อเจอปัญหาต้องนิ่งสงบ ยอมรับความเป็นจริง และใช้สติปัญญาที่มีอยู่ค่อย ๆ ขบคิดและแก้ไข แก้ไม่หมดในครั้งเดียวก็ไม่เป็นไร ค่อย ๆ แก้ไขไปดีกว่าไม่แก้ไขเลย
2) เลิกโทษผู้อื่นว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาที่กำลังเผชิญ (Acceptance of responsibility)
หากเราคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากน้ำมือผู้อื่นแล้วนั้น จะทำให้เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้น เราควรยอมรับว่าเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ทำให้จิตใจเปิดกว้างสามารถคิดแก้ไขปัญหาได้โดยธรรมชาติโดยที่ไม่ต้องมีคนมาบอก
3) การยอมรับความเป็นจริงทุกลมหายใจ (Dedication to reality)
เมื่อเรายอมรับความเป็นจริงที่ตนเองกำลังประสบอยู่ เราจึงจะสามารถสร้างแผนที่ชีวิตให้ตนเองได้ (Mapmaker) เพราะเรารู้ว่าตนเองเป็นใคร กำลังทำอะไร เพื่ออะไร กำลังเผชิญปัญหาแบบไหน และอะไรคือเป้าหมายที่สำคัญในชีวิต โดยไม่ถูกกระแสสังคมลากไปวันหนึ่ง ๆ หาแก่นสารสาระในชีวิตไม่ได้ แผนที่ชีวิตที่เราสร้างจะต้องชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้และจะต้องปรับแก้ได้ทุกเมื่อ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น บางครั้งเราต้องรู้จักอ่อนน้อมและประนีประนอมบ้าง หรือบางกรณีก็ควรเข้มแข็งและกล้าหาญ เป็นต้น หากเราดื้อดึง มีความเป็นตัวของตัวเองมากจนเกินไป จะทำให้เรามองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง วางตัวไม่ถูก และไม่เข้าใจพฤติกรรมของคนรอบข้าง ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งอยู่เป็นประจำ ผู้แต่งกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้เกิดจากการมองโลกที่ผิดคิดว่า คนรอบข้างและตัวเราเคยเป็นเช่นไรในอดีตก็ต้องเป็นเช่นนั้น พฤติกรรมทุกอย่างจึงออกมาในรูปของความเคยชิน ทำให้เราอยู่แต่ในอดีต ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน จึงมองไม่เห็นความเป็นจริงตรงหน้า ทำให้มีแต่ความสงสัยและไม่เข้าใจโลก เกลียดโลก เกลียดมนุษย์ หาความสุขไม่ได้ ดังนั้น เราจึงต้องปรับความคิด บุคลิกลักษณะตามความเป็นจริงในปัจจุบัน และเปิดใจยอมรับในทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
4) เมื่อเจอปัญหาแรง ๆ เราควรหยุดสักครู่หนึ่ง แทนที่จะฝืน (Balancing)
ทำจิตใจให้เป็นกลางไม่ลิงโลดหรือหดหู่จนเกินไป และเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ ๆ โดยนำไปขบคิดพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อ
2.มุมมองในการมองความรัก (Love)
สิ่งที่ไม่ใช่นิยามของคำว่า "ความรัก" ได้แก่
1) อาการตกหลุมรัก
การตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น ผู้แต่งเชื่อว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความหลงและเป็นอารมณ์ที่เกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนมากกว่า เพราะความรักจะต้องเกิดจากความพยายามของทั้งสองฝ่ายที่จะสร้างมันขึ้นมา โดยจะต้องเกิดจากการปรับตัวของคนสองคนให้เข้ากัน ดังนั้น เมื่อเราเกิดอาการตกหลุมรักใครสักคนให้ระวังไว้ว่า สิ่งนี้อาจจะไม่ใช่ความรักก็เป็นได้
2) การพึ่งพาหรือฝากชีวิตไว้กับอีกฝ่าย
"ฉันอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีคุณ" การคิดเช่นนี้ไม่เรียกว่า "ความรัก" แต่จะเป็นการครอบครองและการยึดติด เสมือนพยาธิที่คอยเกาะติดเหยื่อเพื่อการดำรงชีวิตของตนเอง ผู้แต่งเชื่อว่าบุคคลเช่นนี้ มีอาการป่วยทางจิต หึงหวง ไร้เหตุผล ระแวงอยู่ตลอดเวลา ตามจิกไปทุกที่ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาเป็นของตัวเอง ดังนั้น หากเจอคนประเภทนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ มิฉะนั้น ชีวิตคู่ของคุณจะต้องล่มสลายอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนั้น ผู้แต่งเสริมว่า คนที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นโดยที่ตนเองอยู่ไม่ได้นั้น มีสาเหตุมาจากการขาดความรักความอบอุ่นมาตั้งแต่เด็ก และเมื่อทำผิดมักจะโทษพ่อแม่และคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา เป็นต้น
3) การเสียสละทุกอย่างเพื่ออีกฝ่าย
"ฉันจะยอมเสียสละเพื่อเธอ ฉันจะยอมตายเพื่อเธอ" คิดเช่นนี้ก็ไม่เรียกว่า "ความรัก" แต่เป็นการหนีปัญหามากกว่าเพราะในชีวิตมนุษย์ ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากมาย ไม่ใช่แค่เพื่อคนที่คุณรักอย่างเดียว และคนที่คิดเช่นนี้ผู้แต่งเชื่อว่า มักเป็นพวกที่ชอบความรุนแรง ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล หรือเป็นพวกซาดิสท์ เป็นต้น ในทางกลับกัน คนที่คุณมอบความรักเช่นนี้ให้ ก็จะเหลิงและเป็นคนหลงตัวเอง เหมือนเด็กที่ถูกตามใจมากจนเกินไป จะเรียกร้องเอาสิ่งต่าง ๆ มากมายโดยไม่รู้จักพอ แต่กลับไม่เห็นคุณค่าของความรักที่คุณให้เท่าไรนัก ในที่สุดความสัมพันธ์เช่นนี้ก็ต้องจบลง เพราะมันอยู่บนพื้นฐานของอารมณ์ ไม่ใช่สิ่งที่เราเรียกว่า "ความรัก"
4) ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกเท่านั้น
คิดเช่นนี้ก็ยังไม่เรียกว่าเป็น "ความรัก" จริงอยู่ที่ว่าความรักเกิดจากความรู้สึกที่ดีของคนสองคนมาปรับเขาหากัน แต่ความรักที่แท้จริงนั้นจะต้องรวมถึงความมุ่งมั่นที่ทั้งสองฝ่ายจะพยายามประคับประคองจิตใจและความรู้สึกของกันและกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน และเอาใจใส่ดูแลซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างสถาบันครอบครัวให้เข้มแข็งและมีความสุขต่อไป
"ความรัก" ในมุมมองของผู้แต่งนั้นเป็นสิ่งที่มีพลังมาก ความรักที่บริสุทธ์ย่อมสามารถละลายพฤติกรรมอีกฝ่ายให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีได้ และความรักที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่แค่การกล่าวคำว่า "รัก" แต่จะเป็นความรักที่แสดงออกด้วยการกระทำอย่างต่อเนื่อง และเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีที่อยากให้อีกฝ่ายมีการพัฒนาคุณภาพจิตใจที่ดีขึ้น มีวุฒิภาวะสูงขึ้น และมีความเข้มแข็งสามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง นอกจากนั้น ความรักที่แท้จริงนั้น จะต้องเกิดจากการทะนุถนอมและเอื้ออาทรซึ่งกันและกันทั้งกาย วาจา และใจ ทั้งสองฝ่ายจะต้องรู้จักระมัดระวังคำพูดและการกระทำของตนเอง ไม่ให้กระทบกระเทือนจิตใจของคนที่คุณรัก อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม ความถูกต้อง และจะต้องอยู่ในความพอดี เพื่อพัฒนาและยกระดับจิตใจซึ่งกันและกัน
3.การเข้าถึงพลังธรรมชาติ (Grace)
ผู้แต่งเชื่อว่า รอบตัวเรานั้นมีพลังธรรมชาติที่คอยเกื้อหนุนเราอยู่ตลอดเวลา โดยอาจจะออกมาในรูปของความฝัน ลางสังหรณ์ หรือสัมผัสที่6 เป็นต้น แต่เรามักมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปเพราะมนุษย์มักง่วนคิดอยู่ตลอดเวลา ขาดการเอาใจใส่หรือสังเกตสิ่งรอบข้าง ขาดการรู้เนื้อรู้ตัว หรือใจลอย เป็นต้น ดังนั้น หากเราต้องการจะดึงเอาพลังธรรมชาติที่มีอยู่อย่างมหาศาลรอบ ๆ ตัวเรามาใช้นั้น เราจะต้องรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ตั้งใจพูด ตั้งใจทำ หัดสังเกตพฤติกรรม น้ำเสียง ความคิดของตนเองและบุคคลรอบข้าง และหัดประคับประคองจิตใจให้สบาย ๆ ไม่ตึงเครียด เมื่อจิตใจเบาสบายก็เหมือนแก้วใส จึงจะสามารถสะท้อนความเป็นจริงและดูดซับพลังธรรมชาติอันบริสุทธิ์มาใช้