เจาะทะลุทักษะการเรียนภาษาอังกฤษ

สาเหตุที่ทำให้การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่พูดไม่ออก ฟังไม่รู้เรื่อง อ่านไม่เข้าใจ

และเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้ มีดังนี้

1. มีความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า ตนเองมีไวยากรณ์ที่ถูกต้องและเพียงพอแล้ว แต่ความเป็นจริงคือ ไวยากรณ์ที่มีอยู่อาจจะไม่ถูกต้อง ไม่เพียงพอ หรือมีไวยากรณ์เพียงพอแต่นำมาใช้ไม่เป็น

2.ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ใช้วัดระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษไม่มีคุณภาพพอและไม่สามารถชี้นำให้นักศึกษาเรียนรู้เนื้อหาของการที่จะนำไปใช้ในการพูดการเขียนได้จริง ทำให้นักเรียนเข้าใจผิดว่า ตนเองรู้ภาษาอังกฤษโดยการตีความจากคะแนนสอบที่ออกมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระดับคะแนนที่สูงมิได้เป็นตัวสะท้อนถึงความรู้ในการใช้ภาษาอังกฤษเลย เพราะมาตรฐานที่ใช้ประเมินยังไม่มีคุณภาพ

3. จากอดีตที่ผ่านมา การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยไม่เคยมีการสอนสำเนียงและวิธีการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง ทำให้เมื่อพูดแล้วฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง สาเหตุที่สอนไม่ได้เพราะผู้สอนเองก็ไม่รู้วิธีการออกเสียงที่ถูกต้องเช่นเดียวกัน

4. ไม่มีการสอนให้คิดอย่างเป็นระบบ และจูงใจคนฟังได้ ทำให้ในขณะที่พูดกับชาวต่างชาติ นอกจากสำเนียงจะฟังลำบากแล้ว เนื้อหาที่พูดยังไม่ชัดเจน ไม่น่าสนใจ และไม่น่าเชื่อถือเพราะไม่มีเหตุผลมาสนับสนุนในสิ่งที่พูด ในการเขียนก็เช่นเดียวกัน สังคมตะวันตกเน้นเหตุและผลเป็นหลัก การเขียนประเด็นต่าง ๆ ขึ้นมาลอย ๆ โดยไม่มีเหตุผลมาสนับสนุน หรือไม่มีการหักล้างประเด็นของฝ่ายตรงข้ามว่า อีกฝ่ายไม่มีเหตุไม่มีผลตรงจุดใด ถือว่าเป็นการยกประเด็นที่ฟังไม่ขึ้น หรือเป็นการโต้เถียงไปอย่างน้ำขุ่น ๆ

5. ไม่มีการสอนให้สร้างมโนภาพ เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ต้องใช้มโนภาพเข้ามาเกี่ยวข้องในทุก ๆ ส่วน ทั้งพูด ฟัง อ่าน เขียน ดังนั้น การไม่มีมโนภาพจะทำให้การเรียนรู้ช้าและไม่เป็นระบบ

6. ไม่มีการสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษมากพอ หรือศัพท์ที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน หรือสอนในลักษณะ Collocation เพื่อใช้เน้นเรื่องในการถ่ายทอดแนวความคิดออกมา

7. มีความเชื่อที่ผิด ๆ ว่า ถ้าอยากพูดภาษาอังกฤษได้ จะต้องไปเรียนสนทนาภาษาอังกฤษการจะเรียนสนทนาภาษาอังกฤษนั้น ควรเรียนเมื่อเราพอมีพื้นฐานในด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องในระดับหนึ่ง และมีคำศัพท์เพียงพอในการพูดเสียก่อน การเรียนสนทนาตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อฝึกพูดภาษาอังกฤษเป็นการเสียเวลา เพราะชาวต่างชาติมีวัฒนธรรมที่ว่า หากแก้ไขภาษาใครถือว่าเป็นการเสียมารยาท จึงพยายามเข้าใจในสิ่งที่เราพูดอยู่เสมอ ทำให้ผู้เรียนเข้าใจผิดว่าสิ่งที่พูดนั้นถูกต้อง และต้องใช้เวลานานในการเรียนรู้และซึมซับการใช้ภาษาที่ถูกต้องจริง ๆ ดังนั้น การเรียนสนทนาภาษาอังกฤษควรเรียนเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย มีความชำนาญในการพูด และไม่เก้อเขินเมื่อต้องพูดคุยกับชาวต่างชาติ

วิธีการพัฒนาการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง

ในกรณีที่เราไม่มีทุนทรัพย์มากพอที่จะไปเรียนต่างประเทศ หรือเรียนในโรงเรียนระบบอินเตอร์ และในกรณีที่เราจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในหน้าที่การงานหรือในชีวิตส่วนตัว แต่ห่างเหินการใช้ภาษาอังกฤษมาเป็นเวลานาน การเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิผล มีวิธีการดังต่อไปนี้

1. การพูด

1. พยายามเลียนวิธีการพูดของเจ้าของภาษา สังเกต เทียบเคียง และออกเสียงตาม และในขณะที่พูดจะต้องได้ยินเสียงของตัวเองเพื่อปรับสำเนียงและโทนเสียงให้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษาให้มากที่สุด

2. ต้องมีไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องและแม่นยำเพราะไวยากรณ์จะช่วยให้พูดได้อย่างกระชับและชัดเจน นอกจากนั้น ต้องมีคำศัพท์มากพอเพื่อใช้ในการถ่ายทอดสิ่งที่เราต้องการจะพูดออกไป

3. พูดจาให้มีจังหวะจะโคน (Stress and Intonation) และไม่ควรพูดเสียงราบเรียบไร้อารมณ์

4. ขณะพูดต้องมีมโนภาพและความรู้สึกตามเรื่องราวที่เรากำลังพูดด้วย น้ำเสียงจึงจะไพเราะน่าฟัง และสามารถใช้ไวยากรณ์ได้อย่างถูกต้องตามมโนภาพที่ปรากฎ

5. ขณะที่พูดจะต้องรู้ตัวว่าตนเองกำลังจะพูดอะไร และพูดไปเพื่ออะไร เช่น พูดเพื่อขอร้อง พูดเพื่อแสดงความคิดเห็น หรือพูดเพื่อแสดงความขอโทษ เป็นต้น เราต้องรู้ซึ้งถึงประเด็นที่ตัวเองกำลังจะพูดอย่างชัดเจนเสียก่อน และต้องมีเหตุผลมาสนับสนุนเพื่อให้คำพูดมีน้ำหนัก ฟังแล้วน่าเชื่อถือ

6. อย่าอาย ขอเพียงตั้งใจพูดและพยายามสื่อความให้อีกฝ่ายเข้าใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

7. ฝึกผสมเสียงที่ริมฝีปาก สังเกตการขยับปากที่ถูกต้องแบบเจ้าของภาษา และพูดจาอย่างนุ่มนวลไม่กรรโชกดุดัน

8. พูดมีหางเสียง พูดทีละคำให้ชัด ไม่ต้องพูดเร็ว

9. พูดภาษาอังกฤษกับตัวเองให้บ่อยที่สุดเพื่อให้เกิดความเคยชิน เมื่ออยู่ในสถานการณ์จริงจะได้พูดได้อย่างคล่องแคล่ว

2. การฟัง

ฝึกฟังภาษาอังกฤษบ่อย ๆ ด้วยหูฟังอันใหญ่ ๆ วันละสองถึงสามชั่วโมง และในขณะที่ฟัง ผู้ฟังควรพยายามจับคำหลัก (Key words) และสร้างเป็นมโนภาพตาม จิตใจจะต้องจดจ่อไปที่แหล่งกำเนิดเสียง และที่สำคัญคือ ผู้ฟังควรมีพื้นฐานความรู้ในเรื่องที่ฟังบ้าง ฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ ควรฝึกอ่าน และฝึกฟังบ่อย ๆ เพื่อสะสมความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ไว้ให้มาก ๆ นอกจากนั้น อย่าคิดว่าชาวต่างชาติทุกคนจะต้องพูดรู้เรื่องเสมอไป เพราะชาวต่างชาติบางคนพูดจาไม่ตรงประเด็นก็มีมากมาย ก็ไม่ต่างกับคนไทยที่บางคนพูดจารู้เรื่องชัดเจน แต่บางคนพูดจากำกวม วกวนไปมา เป็นต้น

3. การอ่าน

1. ฝึกสร้างมโนภาพในขณะที่อ่าน จะทำให้จิตใจมีสมาธิ สามารถจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ ทำให้อ่านแล้วไม่เหนื่อย วิธีฝึกสร้างมโนภาพคือ ฝึกอ่านหนังสือพิมพ์รายวันและพยายามสร้างมโนภาพตาม

2. แยกแยะและเปรียบเทียบข้อมูลเก่าและข้อมูลใหม่ว่า สิ่งที่เรากำลังอ่านอยู่นี้เหมือนหรือแตกต่างกับสิ่งที่เรารู้มา และยังไม่ควรเชื่อในทันที เพราะถ้าเชื่อหมดเราจะรู้สึกเหนื่อยหน่ายในการอ่าน เพราะมีข้อมูลใหม่อีกมากมายที่ต้องจดจำ ดังนั้น ในขณะที่อ่านให้ถามตนเองว่าข้อมูลพวกนี้เป็นจริงหรือ และผู้แต่งเอาข้อมูลมาจากไหน เชื่อถือได้หรือเปล่า ผู้แต่งมีมุมมองอย่างไร และข้อมูลใหม่นี้ให้ประโยชน์อะไรแก่เราได้บ้างเป็นต้น

3. พยายามหาประเด็นสำคัญที่ผู้แต่งต้องการจะบอกเรา

4. ขีดเส้นใต้ตรงเนื้อหาที่สำคัญ และเขียนความคิดเห็นของเราที่มีต่อข้อความนั้น ๆ ลงในหนังสือ เมื่อกลับมาอ่านอีกครั้ง จะทำให้จับประเด็นได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

5. จดสำนวนภาษาที่ไพเราะและน่าสนใจ เพื่อนำไปใช้ในการพูดและเขียนภาษาอังกฤษต่อไป

4. การเขียน

1. สรุปประเด็นสั้น ๆ ก่อนลงมือเขียนจริงเช่น สิ่งที่จะเขียนมีกี่ประเด็น พร้อมเหตุผลและตัวอย่างประกอบ

2. ในหนึ่งย่อหน้าจะต้องมีประเด็นหลักเพียงประเด็นเดียวเท่านั้น

3. เลือกใช้คำในบริบทที่ถูกต้องโดยเทียบเคียงกับการเขียนของเจ้าของภาษาว่า เขาจะเขียนกันอย่างไร อย่าผสมคำเองโดยเด็ดขาด

4. สร้างอารมณ์และความรู้สึกก่อนเขียน โดยตัวเราจะต้องรู้ก่อนว่าเราจะเขียนเพื่อจุดประสงค์อะไร เช่น เพื่อร้องเรียน เพื่อขอความช่วยเหลือ หรือเพื่อแสดงความยินดี เป็นต้น ในขณะที่เขียน หากเรามีความรู้สึกสอดคล้องกับสิ่งที่เขียน ผู้อ่านจะรู้สึกได้และสามารถเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการจะบอกได้อย่างครบถ้วนและชัดเจน

5. อย่าใช้คำฟุ่มเฟือย อย่าเขียนแบบปากกาลากไป

6. ต้องอ่านหนังสือภาษาอังกฤษมาก ๆ เพื่อใช้เทียบเคียงว่าภาษาอังกฤษที่เขาใช้เขียนจริง ๆ เป็นอย่างไร

7. ควรเข้าใจในสิ่งที่ตนเองจะเขียนอย่างถ่องแท้เสียก่อน เพราะจะช่วยให้ประเด็นที่เขียนออกมาชัดเจนและเข้าใจง่าย หากตัวเราเองยังไม่เข้าใจ คงเป็นการยากที่จะถ่ายทอดให้อีกฝ่ายเข้าใจตามเราไปด้วย

Three Key Survival Skills for New Business Owners

The first year of a new business is the toughest. It's the make-it-or-break-it year. The challenges a new business owner faces on a daily basis require three key survival skills: self-reliance, self-direction, and resilience. No matter how brilliant the business idea, without these three skills entrepreneurs risk failure.
  • Self-Reliance

It's a fact of life that every small business owner wears many hats to fill all functions: operations, sales, marketing, finance, human resources-even janitor and chief coffee-maker when needed. Unlike life in corporate America, where each employee has a specialized area of expertise, a new business owner must excel in all of the disciplines required to keep a small business running smoothly. The revenue drain of hiring employees can spell disaster for struggling new businesses.

Self-reliance means more than wearing many hats. It also means depending on self for motivation, discipline and decision making and accountability. The true entrepreneur doesn't need a cheering squad to keep going. The self-reliant business owner is highly skilled at "picking himself up by the boot straps." Without that all-important sense of self-reliance, critical decisions will be delayed and opportunities will be missed.

If you find yourself lacking self-reliance, do a total skills inventory to identify the gap that is holding your business back from prospering to your expectations. Rate yourself on a scale of one to four on each skill needed to run your business. Identifying which skills you are deficient in is the first step toward getting help to solve the problem.

  • Self-Direction

One of the toughest challenges for new business owners is strategic planning: the ability to plan for multiple contingencies to reduce risk of failure. The self-directed entrepreneur analyzes market conditions to anticipate setbacks and defines alternative revenue sources to avoid costly earnings slumps.

Equally important, the self-directed business owner should be efficient in executing daily, weekly and monthly activities crucial to maintaining a continual sales pipeline and revenue stream. A successful entrepreneur needs no supervisor to keep him on track.

Unfortunately, not many people excel at both strategic planning and day-to-day tactical efforts. If you are an entrepreneur who gravitates to "the big picture," daily and weekly task lists will help keep you on track toward your revenue goals. Invest in tools to minimize your busy work so that important data like customer contact information can be easily accessed, yet maintained with minimal effort.

On the flip side, highly detail-oriented business owners without a strategic plan suffer from lack of direction. Make time at least quarterly to consider questions like: "What could I do long-term to improve the efficiency of my operations?" or "What could I be doing differently to attract the kind of customers I prefer?"

  • Resiliency

While it is often true that persistence pays off, resiliency is a more essential skill to new business owners. Resiliency is the ability to change direction when needed. It is the 'bounce back" effect that is truly necessary to avoid business failure.

In business, change is constant:

* Economic conditions can reduce consumer spending

* Shifts in consumer tastes make your product out-of-date

* Improvements in technology make your inventory obsolete

Any or all of these things can mean increased competition and loss of market share for your business. You have to be prepared to deal with them--before they happen.

Those who lack resiliency fall victim to self doubt that all too often means the end of a promising new business. To increase resiliency, practice the old-fashioned skill of "getting back on the horse." When things don't work out as planned, do not stop to anguish over the situation. Immediately consider the best alternative actions to take. Take action as soon as possible. Even a less-than-perfect action plan will get you moving in a positive direction and avoid the stall of self doubt and despair.

A new business owner who builds up his or her self-reliance, self-direction and resiliency will greatly increase the odds of surviving that first year in business. And after the first year, your survival skills will ensure that you are well on your way to many more years of success. credit by Deborah Walker